วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

ภาษาม้ง

ชนเผ่าม้ง : ภาษา

ภาษาม้งก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาษาในประเทศไทย แต่ภาษาม้งเป็นภาษาที่ใช้ได้ในกลุ่มคนบางกลุ่มคนเท่านั้น เนื่องจากว่า ภาษาม้งจะใช้ได้เฉพาะคนที่เป็นม้งเป็นส่วนใหญ่ และนับวันลูกหลานม้งเริ่มที่จะเห็นคุณค่าของภาษานี้น้อยลงเนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงของสังคมเปลี่ยนไป ทำให้ม้งไม่ค่อยได้ใช้ภาษาของตัวเองแต่จะใช้ภาษากลางเป็นหลัก ซึ่งหากว่า เป็นเช่นนี้ อีก 10 ปีข้างหน้า เยาวชนม้งรุ่นต่อไปจะไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาของตัวเองได้และไม่สามารถที่ จะเขียนได้ ดังนั้นทางทีมงานของเราจึงได้ไปค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ เพื่อที่จะได้นำมาเสนอใว้ในเวบไซด์นี้ และเพื่อที่จะได้เผยแพร่เป็น องค์กรความรู้แด่เยาวชนม้งที่มีความสนใจในด้านภาษาและหัดเขียน พูดได้ถูกต้อง

Nyob zoo แปลว่า สวัสดี
ขยายความ ประโยคนี้จะใช้เมื่อพบกันทักทายกัน


kuv hlub koj แปลว่า ฉันรักเธอ
ขยายความ ประโยคนี้ ใช้เมื่อเราต้องการบอกความในใจ แก่คนที่เรารัก

Thov kom tau koob hmoov zoo แปลว่า ขอให้โชดดี
ขยายความ ประโยคอวยพรให้ผู้ที่กำลังจะจากกันไป

Thov txim แปลว่า ขอโทษ
ขยายความ ประโยคนี้ เป็นการขอโทษสิ่งที่ทำไปหากไม่ ถูกต้อง

Kuv lub npe hu ua taiv yiv แปลว่า ฉันชื่อ...หยี

Thaum twg แปลว่า เมื่อไร
ขยายความ ประโยคนี้จะใช้เมื่อต้องการถามเวลาไหน

Ghov twg แปลว่า ที่ไหน
ขยายความ ประโยคถามสถานที่


Hnub no แปลว่า วันนี้
ขยายความ ประโยคนี้จะใช้เมื่อคนสองคนพูดถึงวันนี้นะ
Neb tuaj ghov twg tuaj แปลว่า คุณมาจากที่ไหน
ขยายความ ประโยคถามคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน

zoo saib tau tsis ntsib แปลว่า ยินดีที่ได้พบกัน
ขยายความ ประโยคนี้จะใช้เมื่อคนสองคนพึ่งรู้จักกัน

haus dej แปลว่า ดื่มน้ำ
ขยายความ ประโยคบอกให้อีกคนดื่มน้ำ


Tov nej pab kuv thiab แปลว่า โปรดช่วยฉันด้วย
ขยายความ ประโยคนี้จะใช้เมื่อต้องการขอความช่วยเหลือ

Noj mov แปลว่า กินข้าว หรือ ทานข้าว
ขยายความ ประโยคบอกให้กินข้าว

Ua tsaug daug แปลว่า ขอบคุณมาก
ขยายความ ใช้สำหรับขอบคุณ

Tsaus ntuj แปลว่า ตอนเย็น
ขยายความ ประโยคนี้เป็นการบอกว่า มืดแล้ว

baus li ca แปลว่า ราคาเท่าไร
ขยายความ ประโยคนี้เป็นการถามราคาสินค้าที่จะซื้อ

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

hmo hli nra


Hmo nov lub hli nra nra tab sis tsis muaj koj nyob ntawm kuv ib sab...

Kuv lub siab nyob tsis qab vim nco txog wb kev hlub yav tas...

Txhua hmo hli nra yav tas wb yeej sib puag nyob ua ke...

Wb yeej nyob sib sib ze xav tias wb yuav nyob li nov mus ib sim...

Sov siab zim rau wb me kev nkauj nraug uas xav tias yuav tsis paub xaus...

Yuav npaj lub neej laus tsheej cuab ciaj yim no na kuv me nkauj muam...

Yog vim li cas ib sij huam wb cia li sib ncaim mus lawm...

Txoj kev txwj nkawm thiaj tau muab tso tseg rau hmo hli nra...

Hmo hli nra yav tas thiaj tseem nyob nruj nraim kuv nruab siab...

Hmo hli nra puas tseem nyob nrog koj thiab tus neeg kuv hlub tshua...

Wb tau nqua ib zaj lus tseg tias...


HMO TWG HLI NRA KOM WB TIG NTSIA LUB HLI...

TXAWM LUB NTIAJ TEB YUAV TIG MUAB WB SIB FAIB NYOB LEEG SAB NTUJ...

WB OB TUG NTSUJ PLIG YUAV YUJ XEEB LIA TUAJ SIB CUAG SAUM LUB HLI...

SAUM TUS DUAB CI RAU HMO HLI NRA...!


Hmo nov lub hli twb nra nra kuv tus ntsuj plig twb mus tos koj saum lub hli...

Ua li koj ni koj tus ntsuj plig puas tuaj nrhiav kuv saum lub hli thiab...

Hmo nov kuv qhov muag ntsia lub hli ci ntsa iab tab sis kuv pom koj tus ntsuj duab nyob tuaj kuv nruab siab os tus me neeg kuv hlub tshua...!

koj yog txhua yam ntawm kuv



You are everything to me,


your what I live for ,your the air I breathe,


the wind that brushes against my cheek,


the raindrops that kisses my lonely lips,


the snowflakes that fall onto my face, your everything around me,






I see your face everywhere I go,


I cant ignore this feeling, I have fallen for you,


I don't know how to say what I really feel for you,so hard to describe like the moon and the stars,


your love I don't want to lose, your what keeps me alive,


don't ever want to lose you....

Kev Hlub Nyob Zos Vib Nais



Kuv me nplooj siab suav txij li hnub uas koj ncaim kuv mus los txog tag no, kuv tsuas suav hnub suav hmo nco koj tsis muaj hnub xaus li. Me nplooj siab ua li cas koj thiaj li ncaim kuv mus lawm ntsiag to, koj puas paub tias kuv suav hnub suav hmo nco koj tsis muaj hnub yuav ploj hauv kuv lub siab mus li. Tiam neej no xyov puas yuav muaj hnub uas wb yuav tau rov los nyob ua ke li yav tag dlau nyob rau ahuv yeej tawg rog Vib Nais lawm, kuv me nplooj siab suav txij hnub koj ncaim kuv mus lawm ces, kuv ua ib tug nee feeb tsis meej li lawm.

Kuv me nplooj siab koj nco puas tau daim duab ntawm no lawm, yog nyob rau qhov twg? Koj puas paub tias kuv suav hnub suav hmo npau suav pom koj thiab kuv wb taug tej me kev yav tag dlau los wb tau taug ua ke. Me nplooj siab ua li cas koj yuav ua lub siab dub rau kuv ua luaj li. Kuv sis xav tias, koj yuav muaj lub siab ua phem npaum li ntawd rau kuv tiag? Yeej tawgrog Vib Nais koj puas tseem nco tau lawm os?

Thaum koj tso kuv tseg koj hais rau kuv tias, cia wb mam li sib ntsib nyob rau yeej tawg rog Phanat Nikhom, Chonburi, Thailand no, tab sis thaum kuv caum koj tuaj txog rau Phannat Nikhom ces koj cia li khiav tuaj mus rau Mem Kuj teb lawm xwb. Suav txij hnub ntawd los ces, kuv cia lis tsis pom koj lub me plaj plu mo li lawm. Koj puas nco tau tias, koj nyob Xoom 3, ho kuv nyob Xoom 8, wb tau mus kawm ntawv ua ke nyob rau Nab Xoom.

Ua li cas wb twb sib ncaim los tau 21 xyoo dlau los lawm, kuv npaj siab xav pom koj npaum li cas los tsis pom li. Ua li koj mus nyob rau qhov twg lawm os?
http://www.youtube.com/watch?v=vAP2hTCAcOc

P. V.

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

เด็กแม้วควรรู้ไว้ !


แม้วในความคิดของคนไทยในปัจจุบัน บ้างอาจจะหมายถึงคนภูเขาที่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น เป็นพวกทำไร่เลื่อนลอย บ้างอาจนึกไปถึงวิถีชีวิตแบบบรรพกาลที่เคยเห็นตามหนังภาพยนตร์ และบ้างก็ยังคิดว่าแม้วคือคนภูเขาที่เป็นคนละเผ่าพันธุ์กับตน และเห็นเป็นของแปลก พลาดไม่ได้ที่จะต้องไปท่องเที่ยวยังหมู่บ้านแม้ว ถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึกสักหนึ่งใบ ซื้อของกระจุกกระจิกจากเด็กแม้วสัก2-3ชิ้นด้วยความสงสาร ทว่า ใครเลยจะคาดคิดว่า แม้ว ก็มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเป็นของพวกเขาเองเช่นกัน ชาวเขาเผ่าแม้ว เรียกตนเองว่า "ฮม้ง" หรือ "ม้ง" มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมไม่แน่ชัด มีข้อสันนิษฐานแตกต่างกันเป็นหลายทาง บ้างมีความเห็นว่า ชาวแม้วเป็นเผ่าพันธุ์อิสระหรือไม่ก็เป็นเผ่าพันธุ์ผสม มีข้อสันนิษฐานหนึ่งกล่าวว่า ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวแม้วอยู่ทางแถบเหนือของเอเชีย เมื่ออพยพลงใต้ได้ผสมกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ บ้างในช่วงของการอพยพ มีตำนานที่เล่าขานกันใน หมู่ชาวแม้ว ในประเทศจีน ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเคยอยู่ในพื้นที่ที่หนาวเย็นมาก ต่อมาจึงได้อพยพเข้าสู่อาณาเขตที่เป็นประเทศจีนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หลักฐานจากเอกสารเก่าแก่ที่สุดของจีนที่กล่าวถึงชื่อแม้วประมาณ๔,๗๐๐ ปีก่อน ระบุว่ามีชาวแม้วอยู่ในลุ่มน้ำเหลืองแล้ว แต่การใช้ชื่อแม้วในเอกสารจีนอาจมีความสับสนอยู่บ้าง เนื่องจากในบางช่วงของประวัติศาสตร์ ชื่อแม้วได้ขาดหายไปจากเอกสารโดยมีคำว่า หมาน (คนป่าเถื่อนหรืออนารยะชน) มาใช้เรียกชนชาติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เชื้อสายจีน หลักฐานเหล่านี้ ยังได้กล่าวถึงการทำสงครามระหว่างชาวแม้วกับจีนเรื่อยมาจนกระทั่งมาถึงสมัยราชวงศ์หมิง (เหม็ง) ที่จีนได้ใช้กองทัพขนาดใหญ่รุกเข้าสู่พื้นที่ของชาวแม้ว อันเป็นเหตุผลักดัน ให้พวกเขา จำต้องอพยพหนีร่นลงมาทางใต้และตะวันตกเฉียงใต้ การปะทะกันยังเกิดขึ้นเรื่อยมาจนถึงสมัยราชวงศ์แมนจู ทำให้ส่วนหนึ่งที่ยอมอยู่ในอำนาจของจีนเกิดการผสมผสานกันมากขึ้น และอีกส่วนหนึ่งที่มีการหนีร่นลงทางใต้ จนเข้าสู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ลาวและไทย รวมทั้งเข้าสู่บางส่วนของรัฐฉานในพม่าด้วย คำว่า แม้ว หรือ เหมียว หรือ เมี่ยวในสำเนียงจีน มีผู้ลงความเห็นกันไปหลายทาง บ้างก็ว่าหมายถึงคนป่าเถื่อน บ้างก็ว่าหมายถึงคนพื้นเมือง และยังมีผู้กล่าวว่าเป็นการเรียกเปรียบเทียบกับเสียงของแมว เพราะภาษาพูดของพวกเขาฟังเหมือนเสียงแมวร้อง อย่างไรก็ตาม มีผู้วิเคราะห์คำว่าเหมียวในภาษาจีนว่าเกิดจากการผสมกันของคำสองคำ คือคำว่าต้นพืชอ่อนและคำว่าทุ่งนา จึงถูกอธิบายว่าเป็นต้นอ่อนที่เพิ่งเริ่มงอกในนา และมีการตีความว่าเป็นการหมายถึงคนพื้นเมือง คืออยู่มาก่อนพวกชาวจีน สำหรับคำเรียกชื่อกลุ่มของตนเองว่า ฮม้ง หรือ ม้ง ตามสำเนียงกลุ่มย่อยนั้น โดยทั่วไปพวกเขาไม่สามารถบอกความหมายได้ แต่มีผู้ให้ความหมายว่าหมายถึงอิสระชน ตามหลักฐานเอกสารจีนระบุว่านับตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ.๑๒๗๙-๑๓๖๘) ชาวแม้วแบ่งเป็นกลุ่มย่อย คือ แม้วดอก (ฮวาแม้ว) แม้วขาว (ไป่แม้ว)และแม้วน้ำเงิน (ชิงแม้ว) ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิงตอนต้น (ประมาณ ค.ศ.๑๖๔๔) เอกสารระบุว่ามีแม้วขาว (ไป่แม้ว) แม้วดอก (ฮวาแม้ว) แม้วน้ำเงิน (ชิงแม้ว) แม้วดำ (ไฮแม้ว)และแม้วแดง (หุงแม้ว) อย่างไรก็ตามมีผู้นับชื่อเรียกกลุ่มแม้วต่าง ๆ เป็นภาษาจีนว่ามีไม่น้อยกว่า ๕๐ ชื่อ ไปจนถึง ๘๐ - ๙๐ ชื่อในมณฑลไกวเจาแต่หากเป็นชื่อที่เรียกโดยภาษาแม้วเอง มีผู้ระบุว่ามีเพียง ๑๐ ชื่อเท่านั้น สำหรับกลุ่มย่อยของชาวแม้วในประเทศไทย สามารถแบ่งได้เป็น ๒ กลุ่ม คือ ๑) ม้งจั๊ว อาจแปลได้ว่าม้งเขียวหรือม้งน้ำเงิน ชาวแม้วกลุ่มนี้จะเรียกตนเองว่าม้งโดยไม่มีเสียง "ฮ" นำ พวกเขามักจะถูกเรียกในภาษาไทยว่า แม้วดำ แม้วลายหรือแม้วดอก ส่วนชาวแม้วอีกกลุ่มย่อยหนึ่งมักนิยมเรียกพวกเขาว่าฮม้งเหล่งซึ่งอาจแปลได้ว่าฮม้งลาย ๒) ฮม้งเด๊อ แปลว่าฮม้งขาว เป็นชื่อที่พวกเขาเรียกตนเองโดยมีเสียง "ฮ" นำ คำว่า "ฮม้ง" ชื่อเรียกเป็นภาษาไทยก็ใช้ว่าแม้วขาว เคยมีผู้เรียกกลุ่มนี้ว่าแม้วเผือก แต่ไม่เป็นที่นิยมจึงสูญหายไป ส่วนกลุ่มม้งจั๊วจะเรียกพวกเขาว่าม้งเกล๊อซึ่งก็เป็นคำเดียวกับฮม้งเด๊อเช่นกัน แต่ออกสำเนียงต่างกันไป อย่างไรก็ตามเคยมีผู้กล่าวว่ามีชาวแม้วอีกกลุ่มย่อยหนึ่งเรียกว่าแม้วกั่ว(ม)บ๊า อยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดน่าน เมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน แต่มีจำนวนไม่มากนักและกำลังถูกกลืนโดยกลุ่มแม้วน้ำเงินในพื้นที่ อันที่จริงกลุ่มดังกล่าวเรียกตนเองว่าฮม้งกั่ว(ม)บ๊า หรือออกเสียงในสำเนียง ม้งจั๊ว ว่า ม้งกั่ว(ม)บั๊ง ซึ่งอาจแปลได้ว่า ฮม้งแขนปล้อง จัดเป็นส่วนหนึ่งของฮม้งขาวนั่นเอง เมื่อมีการอพยพของชาวลาวลี้ภัยเข้าสู่ประเทศไทย นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๘ เป็นต้นมา ในจำนวนผู้อพยพจะมี ฮม้งกั่ว(ม)บ๊า ร่วมอยู่ด้วย แต่ถือว่าเป็นชาวลาวอพยพที่ถูกจัดให้อยู่ตามศูนย์อพยพต่าง ๆ มิใช่ชาวเขาในประเทศไทย การจำแนกกลุ่มย่อยของชาวแม้วเหล่านี้ ทำได้ง่ายโดยการสังเกตเครื่องแต่งกายตามประเพณี และสำเนียงภาษาที่แตกต่างกัน

ประวัติชาวม้งในช่วง 800 ปีที่ผ่านมา


ประวัติชาวม้งในช่วง 800 ปีที่ผ่านมาแผ่นดินจีนกว้างใหญ่ มีประวัติการแย่งชิงแผ่นดินและอำนาจมาอย่างยาวนาน ชนเผ่าหลายๆ เผ่าที่เคยมีชื่อเสียงอยู่ในแผ่นดินเหล่านี้ได้สูญพันธุ์ไปหมดสิ้น ( ซยงหนู๋ ถั๋วป๋า ) และหนึ่งในชนเผ่าที่กำลังจะสูญสิ้นไปจากแผ่นดินนี้ คือ ชนเผ่าเมี้ยว หรือแม้ว หรือม้งในปัจจุบันนั้นเองกาลเวลาผ่านไป เรื่องราวต่างๆ ถูกหลงลืมเหลือเพียงตำนานและนิยายปรัมปราเล่าให้ลูกหลานฟังสืบไป“คนเราเกิดมาหากไม่รู้รากเหง้าตนเองแล้วจะยิ่งใหญ่ไปเบื้องหน้าได้อย่างไร”“มีชาติถึงมีบ้าน” คำนี้นั้นจริงยิ่งสิ่งใด หลายร้อยปีผ่านไป ผู้เฒ่าผู้แก่ตายลงรุ่นต่อรุ่น ยังมิมีแผ่นดินให้ดำรงอยู่เพื่อสร้างบ้านของตนเอง มองดูช่างน่าอนาถใจชาวเมี้ยวหรือม้งนั้นแต่เดิมมามีวัฒนธรรม ศาสนาและความเชื่อเป็นของตนเอง เผ่าพันธุ์ม้งนั้นมีประวัติและเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับความเป็นชาติพันธุ์ แต่เสียดาย เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วง 800 ปี ที่ผ่านมานั้นช่างน่าเศร้า ประเทศจีนในศตวรรษที่ 13 นั้น (สมัยราชวงศ์หมิง) มีกลุ่มคนต่างๆดังต่อไปนี้1. ชาวฮั่น (ชาวจีนในปัจจุบัน) อาศัยอยู่ทางภาคกลางของประเทศจีนในปัจจบัน2. ชาวแมนจู (หม่านโจวในภาษจีน แมนจูมีหลายชื่ออาทิ แมนโจว หม่านโจว หนี่โจว หนี่ชิง ชนแมนจูแต่เดิมชื่อเผ่าหนี่เจิน) อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนในปัจจุบัน แมนจูมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นเพียงชนกลุ่มๆ เล็กที่มีประชากรเพียง 2 ล้านคน แต่สามารถปกครองชาวจีนฮั่นมากกว่า 100 ล้านคนในช่วงทศวรรษที่ 1644 – 19113. ชาวมองโกล อาศัยอยู่ทางเหนือของประเทศจีน หรือพื้นที่ในประเทศมองโกเลียในปัจจุบัน4. ชาวซีเซี้ย อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของราชวงศ์หมิงติดเขตแดนเผ่าหนี่เจินในช่วงศตวรรษที่ 125. ชาวเหลียว อาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรซีเซี่ย6. และชนเผ่าอันอยู่ใกล้เขตชาวฮั่น ได้แก่· เมี้ยว อยู่ทางทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของราชวงศ์หมิง หรือพื้นที่มลฑลยูนนาน ฮูนนาน ไกวเจา เสฉวน ในปัจจุบันนั่นเอง· อุยกูร อาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกของราชวงศ์หมิง· จ้วง ทิศที่อยู่ในศตวรรษที่ 13 ไม่แน่ชัด· หุย ทิศที่อยู่ในศตวรรษที่ 13 ไม่แน่ชัดปี ค.ศ. 1372 ศักราชหย่งเล่อปีที่ 4 หลังฮ่องเต้หมิงไท่จู่ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิงขึ้นครองราชย์ ชาวจีนฮั่นมีการสำรวจจำนวนประชากรพบว่า มีชาวฮั่นราว 800 หมื่นครัวเรือน หรือราวๆ 70 กว่าล้านคน อาณาจักรต้าหมิงกว้างใหญ่ ทิศเหนือติดมองโกล ทิศตะวันออกติดเกาหลี ตะวันออกเฉียงเหนือติดแมนจู ทิศใต้ติดเมี้ยวหรือม้งนั่นเองเรื่องราวของชนเผ่าม้งเริ่มต้นขึ้นที่นี่พวกเมี้ยวในสมัยราชวงศ์หมิงมีประชากรไม่เกิน 2 ล้านคน อาณาจักรต้าหมิงทางทิศใต้ประกอบไปด้วย ยูนนาน ฮูนนาน เสฉวน มลฑลเหล่านี้มีอยู่จริง แต่ไม่ครอบคลุมพื้นที่ๆพวกเมี้ยวอาศัยอยู่ เช่น พวกเมี้ยวจะอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในเขตติดต่อของยูนนาน เป็นต้น ชาวฮั่นในราชวงศ์หมิง เรียกตนเองว่า ชนพื้นราบ และเรียกพวกเมี้ยวและชนต่างเผ่าว่า ชนป่าเถื่อน พวกเมี้ยวในปี 1372 นั้นครอบครองพื้นที่ราบลุ่มและบ่อเงินที่สำคัญหลายแห่ง นิยมการประดับประดาร่างกายด้วยเครื่องเงิน นิยมการร้องรำทำเพลง สรวลเสเฮฮา ดื่มเหล้า และเชี่ยวชาญยาพิษเป็นอย่างมาก อันเป็นเหตุให้มีการกล่าวขานกันมาจนถึงทุกวันนี้ ( ยาพิษในหนังจีนเรื่องเดชคัมภีร์เทวดาก็เกี่ยวกับชนเผ่าเมี้ยวนี่แหล่ะ )การที่พวกเมี้ยวมีอิสระเช่นนี้ เป็นผลพวงมาจากสมัยราชวงศ์หยวนของชนเผ่ามองโกลที่ขึ้นปกครองแผ่นดินของชาวจีนฮั่น ชาวมองโกลแม้จะป่าเถื่อนและโหดร้าย แต่กับชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน กลับไม่อยู่ในข่ายความต้องสงสัยของมองโกลว่าจะเป็นภัยคุกคามแก่พวกตนแต่อย่างใด ดังนั้นชนกลุ่มน้อยโดยส่วนใหญ่จึงมีอิสรภาพในการจะครอบครองพื้นทีทำมาหากินเดิมของตน และอยู่กันอย่างเรียบง่าย เว้นแต่วันดี คืนดี พวกมองโกลจะส่งคนมาขอเสบียงระหว่างการทำศึกกับชาวฮั่นปี 1369 เริ่มศักราชหย่งเล่อ ราชสำนักหมิงได้ส่งผู้แทนพระองค์มาทำการสำรวจพื้นที่ในเขตมณฑลเสฉวน ยูนนาน ฮูนนาน ไกวเจา เพื่อจะแต่งตั้งผู้ตรวจการประจำมลฑลเข้ามาทำหน้าที่แทนพวกมองโกล ( แต่เดิมมองโกลปกครองหัวเมืองเหล่านี้โดยการแต่งตั้งให้ 1 หัวเมืองมี 1 แม่ทัพภาคของมองโกลประจำการ ) และปลายปี 1370 มลฑลต่างๆ เหล่านี้ก็ถูกจัดระเบียบการปกครองตามแบบฉบับราชวงศ์หมิงเป็นที่เรียบร้อย ( ไม่นับรวมชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่มีอาณาเขตติดกับมณฑลเหล่านี้ เช่น เมี้ยว เป็นต้น )เดือน 8 ปี ค.ศ. 1368 จูหย่วนจาง หรือ ฮ่องเต้หมิงไท่จง ( หรือจู่ ) ได้ขับไล่ชาวมองโกลออกไปจากแผ่นดินจีนฮั่นจนหมดสิ้น และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งต้าหมิง ( ราชวงศ์หมิง ) และสถาปนาเมืองหลวงขึ้นที่นานกิง ช่วงแห่งการเปลี่ยนขั้วการปกครองนั้น หมิงไท่จงได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองใหม่จนหมดสิ้น อาทิยกเลิกตำแหน่งใหญ่ๆ เช่น เสนาบดี เป็นต้น มีการประหารชีวิตผู้นิยมมองโกลเป็นจำนวนมาก มีการประหารชีวิตเหล่าขุนนางเก่าแห่งราชวงศ์หยวนให้สิ้นทั้งตระกูล ประชาชนที่ถูกสังหารโหดในครั้งนั้นมีไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ส่วนเหล่าขุนนางและคนในตระกูลถูกสังหารไปไม่ต่ำกว่า 30,000 คน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่โหดเหี้ยมครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์จีน (ไม่ขอสาธยายยาว)และแล้วความอิสระของชนเผ่าเมี้ยวก็เริ่มถูกคุกคามปี ค.ศ. 1375 ศักราชหย่งเล่อปีที่ 7 เดือน 4 ผู้ตรวจการประจำมลฑลฮูนนาน ( ผู้ตรวจการท่านนี้ในบันทึกมีชื่อว่า เหลียงหวังเว่ย ) ได้ทำเรื่องไปยังราชสำนักหมิงว่า พื้นที่ทางตะวันออกของมลฑลฮูนนานนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชไม้นานาพันธุ์ สัตว์ป่าชุกชุน อีกทั้งยังมีบ่อเงินอีกมากมายหลายแห่ง แต่ไม่อาจเข้าไปสำรวจและตั้งรกรากให้กับชาวฮั่นได้ เพราะที่นั่นเป็นที่อาศัยของชนป่าเถื่อนที่เรียกตัวเองว่า เมี้ยวราชสำนักหมิงอนุญาตให้เหลียงหวังเว่ยนำชาวฮั่นไปอยู่รวมกับพวกเมี้ยวเพื่อจะได้แลกเปลี่ยนสินค้าที่มีประโยชน์ในเขตของพวกเมี้ยวและในช่วงปี 1376 เหลียงหวังเว่ย ได้ส่งราษฎรชาวฮั่นให้เข้ามาอาศัยอยู่กับพวกเมี้ยวในเขตทางทิศตะวันออกของฮูนนาน โดยชาวฮั่นกลุ่มแรกที่เข้ามานั้น ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า แม่ขาย เพื่อหวังแลกเปลี่ยนทำการค้ากับชาวเมี้ยว แต่เรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากวัฒนธรรมของเมี้ยวกับชาวฮั่นนั้นแตกต่างกัน ทำให้เกิดความไม่พอใจระหว่างชาวเมี้ยวกับชาวฮั่นเป็นระยะๆศักราชหย่งเล่อปีที่ 12 ก็เกิดเหตุอันน่าสลดใจขึ้น เมื่อชาวฮั่นในหมู่บ้านหลี่เทียนอันกล่าวหาว่า พวกเมี้ยวลักลอบขโมยม้าของกองคาราวานพ่อค้าชาวจีนที่เดินทางมากับผู้แทนพระองค์จากเมืองนานกิง เรื่องนี้ทำให้มีตัวแทนเมี้ยวเข้าไปร่วมเจรจาความว่า เมี้ยวไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่ศาลชาวฮั่นไม่รับฟัง และมีคำสั่งให้ประหารตัวแทนม้งคนนั้นต่อหน้าตัวแทนพระองค์แห่งต้าหมิงทันทีเหตุครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำชาวม้งในเขตฮูนนานเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ได้แต่ปรึกษากันแล้วก็เก็บความแค้นเอาไว้ในใจศักราชหย่งเล่อปีที่ 12 เดือน 7 เหลียงหวังเว่ย ได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยังราชสำนักหมิงว่า พวกเมี้ยวคิดเป็นกบฎต่อราชสำนัก โดยได้ทำการสังหารผู้แทนพระองค์ในการออกตรวจราชการประจำหัวเมืองในเขตมลฑลฮูนนาน ( นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า ผู้ตรวจการหรือผู้แทนพระองค์ไม่ได้ถูกพวกเมี้ยวสังหาร แต่ถูกเหลียงหวังเว่ยฆ่า แล้วรายงานไปยังราชสำนักเพื่อหวังปราบพวกเมี้ยวในเขตของตนให้สิ้น )จากรายงานของเหลียงหวังเว่ย ทำให้ฮ่องเต้หมิงไท่จงทรงเริ่มครุ่นคิดถึงชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน แต่พระองค์ยังไม่ทรงตัดสินพระทัยว่าจะทรงทำเช่นไร เพราะว่า สถานการณ์ภายในของราชวงศ์หมิงยังไม่มั่นคงพอ แต่เพราะสาเหตุนี้เอง ที่ทำให้ชาวเมี้ยวต้องเผชิญชะตากรรมที่น่าอนาถในภายภาคหน้า

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วรรณกรรมม้ง ( ต่อ )

ตำนานประวัติศาสตร์ม้ง 5000 ปี ตอน 9

Hmong Hainan, Chinese
ชาวม้งใน ไ่ห่หนาน

ครั้งที่แล้วคุยกันว่าเมื่อความเจริญรุ่งเรืองเข้ามามากขึ้น สิ่งดี ๆ ที่สืบทอดมาก็ค่อย ๆ หายไป มีชาวม้งหลายครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเมือง มีบ้านดี รถดี มีงานดี ๆ แต่เขาไม่สามารถจะพูดภาษาม้งได้แม้แต่คำเดียว มาถึงตอนนี้ ชนบางกลุ่มแม้เขาจะใช่ม้งหรือไม่ แต่เขาก็อยากจะเป็นม้ง และยอมรับว่าตนคือม้ง……..

ยังมีม้งกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ที่เกาะไห่หนาน (Pov Txwv Hainan) ซึ่งอยู่ทางใต้ของจีน เช่นที่หมู่บ้านเหม่าอั้น (Mau Un) เมืองถงฉะ (Thoov Txam) ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ปี 1300 รัฐบาลได้พากำลังพลชาวม้ง 10,000 นาย จากเมืองกวางซิ มาช่วยรบที่ไห่หนาน เพราะชาวม้งรู้วิธีการยิงธนูอาบยาพิษ แต่ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า ครอบครัวของบรรดาทหารม้งเหล่านี้ไปพร้อมกำลังพลทีเดียวเลย หรือตามไปทีหลัง

แต่เมื่อสงครามสงบ ทหารม้งเหล่านี้ถูกทอดทิ้งไว้ที่เกาะไห่หนาน จนในปัจจุบันมีประชากรม้งที่นี่ 60,000 คน ที่อยู่ที่จังหวัดไห่หนาน นักเขียนบางคนได้บันทึกไว้ว่า ม้งในไห่หนานเป็นเย้าที่แปลงเป็นม้ง ม้งในหมู่บ้านเหม่าอั้นเองก็กล่าวว่า ตามตำนาน พวกเขาเป็นชนเผ่าเย้าจริง แต่ได้แปลงมาเป็นชนเผ่าม้งมานานหลายร้อยปีมาแล้ว ที่หมู่บ้านเหม่าเจ๊ง (Maum Tseeb) อยู่ห่างจากหมู่บ้านเหม่าอั้น 3 ไมล์ พวกเขามีตำนานที่ต่างจากม้งในหมู่บ้านเหม่าอั้น ซึ่งพวกเขากล่าวว่า ดั้งเดิมพวกเขาก็คือม้ง…..ทำไมม้งในละแวกใกล้เคียงกันแต่การบอกเล่าประวัติ เกี่ยวกับตัวเขาแตกต่างกัน…. ตามเส้นทางการค้นคว้าคงต้องศึกษาให้ลึกกว่านี้จึงจะทราบว่าเรื่องราวเป็น อย่างไรกันแน่..เพราะการแต่งตัวของพวกเขาน้อยอย่างที่คล้ายม้ง แต่ไม่เหมือนม้งเสียมีเดียว ส่วนภาษาต่างกันมากคนละสำเนียง คนที่เรียกตัวเองว่า “ม้ง” ในไห่หนานนั้นพูด 60 คำ จะมีใกล้เคียงภาษาม้งแค่ 5 คำ ท่านผู้อ่านก็พิจารณาถามตัวเองว่าพวกเขาใช่ม้งหรือไม่ ?……

ผู้นำม้งในไห่หนาน เป็นผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียง เขาชื่อ “หลี เหม่ง เทียน” ทำงานอยู่ไห่โกะ เมืองไห่หนาน เป็นผู้มีหน้าตาดี หลี เหม่ง เทียน มีความเชื่อตามชาวบ้านเหม่าเจ๊ง ที่กล่าวว่า…ม้งในไห่หนานก็เป็นม้งมาแต่ดั้งเดิม เพราะตำนาน ประวัติ และนิทานต่าง ๆ ก็เหมือนม้งในฮูหนาน และที่อื่น ๆ ม้งในประเทศจีน แต่ละกลุ่มก็พูดภาษาต่างกันไป เพราะพวกเขาถูกแบ่งแยก ด้วยศึกสงคราม รัฐบาลจีนให้แต่ละกลุ่มไปอยู่แต่ละที่มานานนับพัน ๆ ปี ม้งอีกกลุ่มพูดอีกกลุ่มก็ฟังไม่เข้าใจ นักวิชาการจีนได้แบ่งภาษาม้งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มภาษาม้งที่
อยู่ทางตะวันออก เช่น ม้งในเมืองฮูหนาน กลุ่มภาษาม้งภาคกลาง เช่น เมืองกุ้ยเจ๊อ กลุ่มภาษาม้งภาคตะวันตก เช่น เมืองยูนนาน ถ้าหากต่างกลุ่มต่างพูดกันก็ฟังไม่เข้าใจ

Hmong Girl Hainan, Chinese
สาวม้ง ไห่หนาน

แต่ถ้านำภาษามาเปรียบเทียบเป็นคำ ๆ ไป ภาษาจะยังคงคล้ายกันอยู่มาก สิ่งที่บอกกล่าวได้ชัดเจน แม้ทุกคนจะไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน หรือพูดกันไม่เข้าใจกันก็ตาม แต่ต่างก็เป็นม้ง และเคารพสักการะบรรพบุรุษม้งคนเดียวกัน คือ “จือโหย่” (Txwv Yawg) ผู้นำม้งเมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว ก่อนหน้าที่ม้งยังไม่ได้ถูกรัฐบาลจีนแบ่งแยกไปอยู่คนละที่ปะปนกับชนชาติอื่น ๆ ม้งทุกกลุ่มยังมีนิทาน บทเพลง หรือวัฒนธรรมอื่นเหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่บอกได้แน่ชัดว่าเป็นม้ง และทุกคนมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกัน คือ จือโหย่ นั่นคือ “บทเพลงส่งวิญญาณผู้วายชนม์” (Zaaj Qhuab Ke) แต่เป็นเพราะศึกสงคราม และการถูกบังคับกดขี่จากจีน และบังคับให้ไปอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ทิ้งชีวิตอันรุ่งเรืองไว้เบื้องหลัง จำใจยอมเป็นคนล้าหลังมานับพัน ๆ ปี จนเป็นที่ยอมรับของกลุ่มชนว่า เป็นผู้ล้าหลัง ชีวิตของพวกเขาสู้คนอื่นไม่ได้ และพวกเขาคือคนโง่…แม้แต่สาวม้งเองก็ยังไม่สนใจในหนุ่มม้งต่อไปแล้ว เพราะหนุ่มม้งมีชีวิตที่ลำบาก ขาดการศึกษา ยากจน สาวม้งที่หน้าตาดีส่วนมากยอมแต่งงานกับหนุ่มนอกชนเผ่าของตน เพราะเขามีหน้าตา-อนาคตที่ดี บางหมู่บ้านบรรดาพ่อค้าคนจีนที่ร่ำรวย ก็มาร้องขอให้สาวม้งยืนเรียงแถวเพื่อให้พวกเขาเลือกไปเป็นภรรยา ชาวจีนนิยมมีภรรยาเป็นชาวม้ง เพราะสาวม้งเชื่อฟังสามี ทำงานดี และไม่ฟุ่มเฟือย สาวม้งเองก็ชอบสามีเป็นคนจีน เพราะเขามีเงิน อนาคตคงไม่ลำบาก ยามใดที่สาวงามม้งถูกหนุ่มจีนเลือกแล้ว หนุ่มม้งแม้จะอาลัยเพียงใดก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำอวยพรสักคำแก่สาวม้งเหล่า นั้น หนุ่มม้งจำนวนมากถูกสาวม้งทอดทิ้งเพื่อไปแต่งงานกับหนุ่มจีน จุดนี้เป็นจุดที่ยิ่งตอกย้ำให้หนุ่มม้งตกต่ำมากที่สุด เพราะหนุ่มม้งไม่กล้าที่จะรักสาวงามชาวม้ง เลย เพราะประวัติศาสตร์สอนหนุ่มม้งว่า… สาวม้งที่สวยงามเป็นภรรยาของชนชาติอื่น สาวขี้เหร่เท่านั้น..คือภรรยาชาวม้ง….

Hmong Hainan, Chinese
สาวม้งจีนเรียงแถวให้พ่อค้าจีนเลือก

สาวม้งเหล่านี้อาจลืมความเป็นม้งของตัวเองไปเลย และเขาคงไม่เสียดายวิถีชีวิตความเป็นม้งของเขา ที่ครั้งหนึ่งเขาจะเคยรักกับหนุ่มม้งปานใดก็ตามปัญหาใหญ่สำหรับชาวม้งก็คือ… คนขี้เหร่แต่งงานกับคนขี้เหร่…พ่อแม่หน้าตาไม่ดี เมื่อมีลูก มีหลาน ก็มีหน้าตาขี้เหร่เหมือนพ่อแม่เช่นกัน ชาวม้งจึงยอมรับโดยปริยายว่า ม้งเป็นกลุ่มชนที่หน้าตาไม่สะสวยดั่งชนชาติอื่น เป็นเรื่องที่น่าเศร้า และเสียใจมาก ชีวิตที่ลำบากลำบนอาจไม่เป็นที่ต้องการของบุคคลทั่วไปรวมถึงสาวม้งด้วย แต่สำหรับชนชาติม้งผู้ไร้ประเทศโดยรวมแล้ว ชาวม้งก็ไม่อยากให้สาวงามม้งเหล่านั้นหายหน้าหายตาไปจากชนเผ่าของตน จนกลายเป็นกลุ่มชนอื่นไป บางทีชีวิตที่ลำบาก ล้าหลัง อยู่ตามป่าตามเขา คือหนทางที่ดี เป็นหนทางที่ป้องกันไม่ให้ชนชาติม้งสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้คือบรรพบุรุษม้งที่ได้นำพาชาวม้งมากว่า 5,000 ปี จึงทำให้ชาวม้งไม่สูญหาย หรือสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้

ชาวม้งเป็นกลุ่มชนที่ได้รับความลำบากทุกข์ยากมาก แต่บางทีเป็นการนำพาพวกเขาไปในทางที่ถูกต้องแล้ว คือ ป้องกันการสูญพันธุ์ไป เพื่อที่จะอยู่ต่อไปในอนาคต อาจมีวัน เวลา และสถานที่แห่งหนึ่งให้ชนชาติม้งกลับมารุ่งเรืองเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ออก ดอก ออกผล ชีวิตชาวม้งต่อไปภายภาคหน้า ความลำบาก…ความฝัน….จะยังมีต่อแต่เราชาวม้งต้องถามตัวเองว่า บรรพบุรุษชาวม้งได้ทนความทุกข์ ทรมาน ความทุกข์ยาก เพื่อป้องกันความเป็นม้งมากว่า 5,000 ปี ทำให้วันนี้มีม้งอยู่บนโลกใบนี้ พวกเราชาวม้งจะสามารถอยู่เป็นม้งต่อไปภายภาคหน้าต่ออีก 5,000 ปี ได้หรือไม่?

ส่วนใหญ่บอกว่าชีวิตความเป็นชาวม้งลำบาก เป็นชนเผ่าที่ไร้ประเทศ และม้งเป็นกลุ่มชนที่ใจร้ายใจดำ ชาติหน้าจะไม่ขอเกิดมาเป็นม้งอีก แต่สำหรับผู้ค้นคว้าเอง (Ywj Pheej Xyooj Yog Tus Tshawb Ntshiav โดมดอย Yog Tus Txhais Lus) หากมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และสามารถขอได้จริงละก็ จะขอให้ทุก ๆ ชาติ ได้เกิดมาเป็นม้งอีก เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ดีที่สุดของม้ง และสิ่งที่ม้งอยากได้มากที่สุดยังมาไม่ถึงเท่านั้นเอง