วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วรรณกรรมม้ง ( ต่อ )

ตำนานประวัติศาสตร์ม้ง 5000 ปี ตอน 9

Hmong Hainan, Chinese
ชาวม้งใน ไ่ห่หนาน

ครั้งที่แล้วคุยกันว่าเมื่อความเจริญรุ่งเรืองเข้ามามากขึ้น สิ่งดี ๆ ที่สืบทอดมาก็ค่อย ๆ หายไป มีชาวม้งหลายครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเมือง มีบ้านดี รถดี มีงานดี ๆ แต่เขาไม่สามารถจะพูดภาษาม้งได้แม้แต่คำเดียว มาถึงตอนนี้ ชนบางกลุ่มแม้เขาจะใช่ม้งหรือไม่ แต่เขาก็อยากจะเป็นม้ง และยอมรับว่าตนคือม้ง……..

ยังมีม้งกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ที่เกาะไห่หนาน (Pov Txwv Hainan) ซึ่งอยู่ทางใต้ของจีน เช่นที่หมู่บ้านเหม่าอั้น (Mau Un) เมืองถงฉะ (Thoov Txam) ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ปี 1300 รัฐบาลได้พากำลังพลชาวม้ง 10,000 นาย จากเมืองกวางซิ มาช่วยรบที่ไห่หนาน เพราะชาวม้งรู้วิธีการยิงธนูอาบยาพิษ แต่ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า ครอบครัวของบรรดาทหารม้งเหล่านี้ไปพร้อมกำลังพลทีเดียวเลย หรือตามไปทีหลัง

แต่เมื่อสงครามสงบ ทหารม้งเหล่านี้ถูกทอดทิ้งไว้ที่เกาะไห่หนาน จนในปัจจุบันมีประชากรม้งที่นี่ 60,000 คน ที่อยู่ที่จังหวัดไห่หนาน นักเขียนบางคนได้บันทึกไว้ว่า ม้งในไห่หนานเป็นเย้าที่แปลงเป็นม้ง ม้งในหมู่บ้านเหม่าอั้นเองก็กล่าวว่า ตามตำนาน พวกเขาเป็นชนเผ่าเย้าจริง แต่ได้แปลงมาเป็นชนเผ่าม้งมานานหลายร้อยปีมาแล้ว ที่หมู่บ้านเหม่าเจ๊ง (Maum Tseeb) อยู่ห่างจากหมู่บ้านเหม่าอั้น 3 ไมล์ พวกเขามีตำนานที่ต่างจากม้งในหมู่บ้านเหม่าอั้น ซึ่งพวกเขากล่าวว่า ดั้งเดิมพวกเขาก็คือม้ง…..ทำไมม้งในละแวกใกล้เคียงกันแต่การบอกเล่าประวัติ เกี่ยวกับตัวเขาแตกต่างกัน…. ตามเส้นทางการค้นคว้าคงต้องศึกษาให้ลึกกว่านี้จึงจะทราบว่าเรื่องราวเป็น อย่างไรกันแน่..เพราะการแต่งตัวของพวกเขาน้อยอย่างที่คล้ายม้ง แต่ไม่เหมือนม้งเสียมีเดียว ส่วนภาษาต่างกันมากคนละสำเนียง คนที่เรียกตัวเองว่า “ม้ง” ในไห่หนานนั้นพูด 60 คำ จะมีใกล้เคียงภาษาม้งแค่ 5 คำ ท่านผู้อ่านก็พิจารณาถามตัวเองว่าพวกเขาใช่ม้งหรือไม่ ?……

ผู้นำม้งในไห่หนาน เป็นผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียง เขาชื่อ “หลี เหม่ง เทียน” ทำงานอยู่ไห่โกะ เมืองไห่หนาน เป็นผู้มีหน้าตาดี หลี เหม่ง เทียน มีความเชื่อตามชาวบ้านเหม่าเจ๊ง ที่กล่าวว่า…ม้งในไห่หนานก็เป็นม้งมาแต่ดั้งเดิม เพราะตำนาน ประวัติ และนิทานต่าง ๆ ก็เหมือนม้งในฮูหนาน และที่อื่น ๆ ม้งในประเทศจีน แต่ละกลุ่มก็พูดภาษาต่างกันไป เพราะพวกเขาถูกแบ่งแยก ด้วยศึกสงคราม รัฐบาลจีนให้แต่ละกลุ่มไปอยู่แต่ละที่มานานนับพัน ๆ ปี ม้งอีกกลุ่มพูดอีกกลุ่มก็ฟังไม่เข้าใจ นักวิชาการจีนได้แบ่งภาษาม้งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มภาษาม้งที่
อยู่ทางตะวันออก เช่น ม้งในเมืองฮูหนาน กลุ่มภาษาม้งภาคกลาง เช่น เมืองกุ้ยเจ๊อ กลุ่มภาษาม้งภาคตะวันตก เช่น เมืองยูนนาน ถ้าหากต่างกลุ่มต่างพูดกันก็ฟังไม่เข้าใจ

Hmong Girl Hainan, Chinese
สาวม้ง ไห่หนาน

แต่ถ้านำภาษามาเปรียบเทียบเป็นคำ ๆ ไป ภาษาจะยังคงคล้ายกันอยู่มาก สิ่งที่บอกกล่าวได้ชัดเจน แม้ทุกคนจะไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน หรือพูดกันไม่เข้าใจกันก็ตาม แต่ต่างก็เป็นม้ง และเคารพสักการะบรรพบุรุษม้งคนเดียวกัน คือ “จือโหย่” (Txwv Yawg) ผู้นำม้งเมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว ก่อนหน้าที่ม้งยังไม่ได้ถูกรัฐบาลจีนแบ่งแยกไปอยู่คนละที่ปะปนกับชนชาติอื่น ๆ ม้งทุกกลุ่มยังมีนิทาน บทเพลง หรือวัฒนธรรมอื่นเหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่บอกได้แน่ชัดว่าเป็นม้ง และทุกคนมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกัน คือ จือโหย่ นั่นคือ “บทเพลงส่งวิญญาณผู้วายชนม์” (Zaaj Qhuab Ke) แต่เป็นเพราะศึกสงคราม และการถูกบังคับกดขี่จากจีน และบังคับให้ไปอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ทิ้งชีวิตอันรุ่งเรืองไว้เบื้องหลัง จำใจยอมเป็นคนล้าหลังมานับพัน ๆ ปี จนเป็นที่ยอมรับของกลุ่มชนว่า เป็นผู้ล้าหลัง ชีวิตของพวกเขาสู้คนอื่นไม่ได้ และพวกเขาคือคนโง่…แม้แต่สาวม้งเองก็ยังไม่สนใจในหนุ่มม้งต่อไปแล้ว เพราะหนุ่มม้งมีชีวิตที่ลำบาก ขาดการศึกษา ยากจน สาวม้งที่หน้าตาดีส่วนมากยอมแต่งงานกับหนุ่มนอกชนเผ่าของตน เพราะเขามีหน้าตา-อนาคตที่ดี บางหมู่บ้านบรรดาพ่อค้าคนจีนที่ร่ำรวย ก็มาร้องขอให้สาวม้งยืนเรียงแถวเพื่อให้พวกเขาเลือกไปเป็นภรรยา ชาวจีนนิยมมีภรรยาเป็นชาวม้ง เพราะสาวม้งเชื่อฟังสามี ทำงานดี และไม่ฟุ่มเฟือย สาวม้งเองก็ชอบสามีเป็นคนจีน เพราะเขามีเงิน อนาคตคงไม่ลำบาก ยามใดที่สาวงามม้งถูกหนุ่มจีนเลือกแล้ว หนุ่มม้งแม้จะอาลัยเพียงใดก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำอวยพรสักคำแก่สาวม้งเหล่า นั้น หนุ่มม้งจำนวนมากถูกสาวม้งทอดทิ้งเพื่อไปแต่งงานกับหนุ่มจีน จุดนี้เป็นจุดที่ยิ่งตอกย้ำให้หนุ่มม้งตกต่ำมากที่สุด เพราะหนุ่มม้งไม่กล้าที่จะรักสาวงามชาวม้ง เลย เพราะประวัติศาสตร์สอนหนุ่มม้งว่า… สาวม้งที่สวยงามเป็นภรรยาของชนชาติอื่น สาวขี้เหร่เท่านั้น..คือภรรยาชาวม้ง….

Hmong Hainan, Chinese
สาวม้งจีนเรียงแถวให้พ่อค้าจีนเลือก

สาวม้งเหล่านี้อาจลืมความเป็นม้งของตัวเองไปเลย และเขาคงไม่เสียดายวิถีชีวิตความเป็นม้งของเขา ที่ครั้งหนึ่งเขาจะเคยรักกับหนุ่มม้งปานใดก็ตามปัญหาใหญ่สำหรับชาวม้งก็คือ… คนขี้เหร่แต่งงานกับคนขี้เหร่…พ่อแม่หน้าตาไม่ดี เมื่อมีลูก มีหลาน ก็มีหน้าตาขี้เหร่เหมือนพ่อแม่เช่นกัน ชาวม้งจึงยอมรับโดยปริยายว่า ม้งเป็นกลุ่มชนที่หน้าตาไม่สะสวยดั่งชนชาติอื่น เป็นเรื่องที่น่าเศร้า และเสียใจมาก ชีวิตที่ลำบากลำบนอาจไม่เป็นที่ต้องการของบุคคลทั่วไปรวมถึงสาวม้งด้วย แต่สำหรับชนชาติม้งผู้ไร้ประเทศโดยรวมแล้ว ชาวม้งก็ไม่อยากให้สาวงามม้งเหล่านั้นหายหน้าหายตาไปจากชนเผ่าของตน จนกลายเป็นกลุ่มชนอื่นไป บางทีชีวิตที่ลำบาก ล้าหลัง อยู่ตามป่าตามเขา คือหนทางที่ดี เป็นหนทางที่ป้องกันไม่ให้ชนชาติม้งสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้คือบรรพบุรุษม้งที่ได้นำพาชาวม้งมากว่า 5,000 ปี จึงทำให้ชาวม้งไม่สูญหาย หรือสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้

ชาวม้งเป็นกลุ่มชนที่ได้รับความลำบากทุกข์ยากมาก แต่บางทีเป็นการนำพาพวกเขาไปในทางที่ถูกต้องแล้ว คือ ป้องกันการสูญพันธุ์ไป เพื่อที่จะอยู่ต่อไปในอนาคต อาจมีวัน เวลา และสถานที่แห่งหนึ่งให้ชนชาติม้งกลับมารุ่งเรืองเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ออก ดอก ออกผล ชีวิตชาวม้งต่อไปภายภาคหน้า ความลำบาก…ความฝัน….จะยังมีต่อแต่เราชาวม้งต้องถามตัวเองว่า บรรพบุรุษชาวม้งได้ทนความทุกข์ ทรมาน ความทุกข์ยาก เพื่อป้องกันความเป็นม้งมากว่า 5,000 ปี ทำให้วันนี้มีม้งอยู่บนโลกใบนี้ พวกเราชาวม้งจะสามารถอยู่เป็นม้งต่อไปภายภาคหน้าต่ออีก 5,000 ปี ได้หรือไม่?

ส่วนใหญ่บอกว่าชีวิตความเป็นชาวม้งลำบาก เป็นชนเผ่าที่ไร้ประเทศ และม้งเป็นกลุ่มชนที่ใจร้ายใจดำ ชาติหน้าจะไม่ขอเกิดมาเป็นม้งอีก แต่สำหรับผู้ค้นคว้าเอง (Ywj Pheej Xyooj Yog Tus Tshawb Ntshiav โดมดอย Yog Tus Txhais Lus) หากมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และสามารถขอได้จริงละก็ จะขอให้ทุก ๆ ชาติ ได้เกิดมาเป็นม้งอีก เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ดีที่สุดของม้ง และสิ่งที่ม้งอยากได้มากที่สุดยังมาไม่ถึงเท่านั้นเอง

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

(ต่อ) วรรณกรรมม้ง

เปิดตำนานประวัติศาสตร์ชนชาติม้งที่ซ่อนเร้นมากว่า 5,000 ปี ตอน 8

ตอนที่แล้วคุยกันถึง “เขากำแพงเหว” (Roob Laj Kab Rua) ภูเขาที่สูงใหญ่ มีหลักฐานต่าง ๆ อยู่บริเวณภูเขาใหญ่แห่งนี้ เพื่อให้ลูกหลานม้งได้ศึกษาว่าบรรพบุรุษม้งมีความสามารถเพียงใด “เขากำแพงเหว” อยู่เมืองเก๊าพัวะ ซึ่งแปลว่าเมืองเขาสูง อยู่ไม่ไกลจากเมืองกัวะย่าง ไปทางตะวันออกเฉียงใต้

Hmong History

สาเหตุที่ม้งใช้ภูเขาลูกนี้ซ่องสุมกำลัง และเฝ้าระวังศัตรูก็เพราะด้านข้างของเขาเป็นหน้าผาสูงชันมาก ยากแก่การปีนขึ้นไปได้ มีทางขึ้นเพียง 2 ทางเท่านั้น บรรพบุรุษม้งสมัยนั้นได้ก่อสร้างประตูหินเป็นวงกลมเข้าไป ส่วนอีกประตูหนึ่งเป็นประตูวงกลมถึง 2 ชั้น บางช่วงของภูเขากำแพงเหว มีหน้าผาต่ำลงมาพอที่คนจะปีนขึ้นได้ ม้งก็จะนำก้อนหินมาก่อสร้างเสริมเติมให้เป็นเหวสูงชันมากขึ้น แต่เหลือช่องมอง เพื่อส่องดูศัตรู

บนเขาแห่งนี้ จะมีหลุมหินที่เป็นฝีมือมนุษย์สร้างขึ้น หลายหลุม บางทีอาจเป็นที่ตำข้าว ตำยา หรือตำดินปืนก็เป็นได้ ปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่าผู้นำม้งที่ก่อสร้าง “เขากำแพงเหว” มีนามว่าอย่างไร และไม่มีใครรู้เกี่ยวกับประวัติการสู้รบบริเวณนี้เลยว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิด ขึ้นบ้าง แล้วจบลงอย่างไร แต่เท่าที่มองเห็นในปัจจุบัน ปัญหาใหญ่ของกำลังพลม้งบนเขากำแพงเหว คือ ขาดน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค รวมถึงอาหารการกิน

Death of Hmong

ห่างจากที่นี่ประมาณ 2 – 3 ไมล์ มีถ้ำขนาดใหญ่มากภายในถ้ำมีโลงศพชาวม้งที่นำมาวางเรียง ๆ กันกว่า 130 โลง ประชาชนที่นี่กล่าวว่า คนที่ตายทั้งหมดนี้เป็นคนตระกูล “แซ่ว่าง” อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่นี่นัก แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเริ่มนำโลงศพมาวางซ้อน ๆ กันอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ บางโลงจารึกวัน เวลา ไว้ คือ ปี 1975 โดยโลงวางซ้อนกันหลายชั้น บางโลงก็ผุพังไปตามกาลเวลา บางโลงยังมีสภาพของไม้ดีอยู่

บริเวณใกล้ ๆ ถ้ำนี้มีชาวม้งอาศัยอยู่จำนวนมาก ตามประวัติกล่าวว่า สมัยก่อนม้งอาศัยอยู่ที่เมืองกัวะย่าง ( Kuam Yaaj ) อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 40 – 50 ไมล์จากที่นี่ เมื่อแพ้สงครามกับจีน เขาจึงอพยพมาอาศัยอยู่ตามเขาที่กันดาร แห้งแล้งและสูงชันแห่งนี้เพื่อหลบหนีกำลังของทหารจีน หมู่บ้านนี้จึงได้ชื่อว่า “หมู่บ้านกำแพงเขา” เพราะมีภูเขาล้อมรอบหมู่บ้านนี้ไว้ เหลือเพียงทางเข้าทางเดียว “หมู่บ้านกำแพงเขา” อยู่ห่างจาก “หมู่บ้านเขากำแพงเหว” ไม่มากนัก ประชาชนที่หมู่บ้านกำแพงเขา ก็เรียกตัวเองว่า “ม้ง” เช่นกัน ที่หมู่บ้านกำแพงเขา ทหารจีนเคยเข้ามารบกับชาวม้งที่นี่ เมื่อชาวม้งแพ้จีน ทหารจีนได้สลักตัวอักษรจีนไว้บนแผ่นศิลาในบริเวณหมู่บ้านว่า “ต้องทรมานม้ง อย่าให้มันลุกขึ้นมาได้อีก”

มีสงครามครั้งใหญ่หลายครั้ง ตรงกับราชวงศ์ชิง ทำให้ชาวม้งอยู่ไม่ได้ จึงอพยพออกจากแผ่นดินจีนไปสู่หลายประเทศทางใต้ เช่น เวียดนาม พม่า ลาว และไทย ตามที่ได้มีการสำรวจประชากรในปี ค.ศ. 1990 ม้งในจีนมี 7 ล้านกว่าคน อาศัยอยู่ใน 7 - 8 จังหวัดทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ในเมืองกุ้ยเจ๊อมีชาวม้งอาศัยอยู่ 3 ล้าน 6 พันกว่าคน (3,006,000 คน) เมืองฮูหนาน 1,005,000 คน เมืองยูนนาน 896,000 คน เมืองเสฉวน (ซีชวน) 535,000 กว่าคน เมืองกวางซิ 425,000 คน เมืองฮูเป 2,000 กว่าคน เมืองไห่หนาน 52,000 คน ที่เหลือ ประมาณ 43,000 คนอยู่กระจายตามเมืองอื่น ๆ เพราะการอพยพหลบหนีภัยสงครามจึงได้กระเซ็นกระสายไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ ปนกับกลุ่มชนอื่น ๆ และบางส่วนก็ถูกบังคับให้กลายเป็นคนจีนไป

House of Hmong

นประเทศจีน ม้งถูกแบ่งแยกเป็น 5 กลุ่ม เรียกตามการแต่งตัวของสตรีม้ง คือ ม้งแดง (Hmoob Liab) ม้งดำ (Hmoob Dub) ม้งขาว (Hmoob Dawb) ม้ง (ลาย) ดอก (Hmoob Paj) และม้งเขียว (Hmoob Ntsuab) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย คือสิ่งสำคัญของชนชาติ แม้จะอยู่ห่างกันแค่ไหน หากเราเห็นกระโปรงสตรีม้งจะสวมใส่อยู่ หรือตากตามราวตากผ้าก็ตาม เราก็รู้ทันทีว่าหมู่บ้านนี้เป็นม้ง

แต่ที่ยังเสียใจไม่หาย คือปัจจุบันคงเหลือเพียงแม่บ้านชาวม้งส่วนมากเป็นผู้สูงวัยที่ยังแต่งตัวใน ชุดชาวม้ง หนุ่มสาวม้ง ส่วนใหญ่ ไม่ได้สวมชุดประจำเผ่าแล้ว แม้บางครั้งเราเดินสวนกันจนแทบจะชนกันก็ตาม เรายังไม่รู้ว่าเขาคือม้ง ทุกคนมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาของความเจริญรุ่งเรือง นับว่าเป็นสิ่งดี แต่เมื่อความเจริญรุ่งเรืองเข้ามามากขึ้น สิ่งดี ๆ ที่สืบทอดมาก็ค่อย ๆ หายไป มีชาวม้งหลายครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเมือง มีบ้านดี รถดี มีงานดีๆ แต่เขาไม่สามารถจะพูดภาษาม้งได้แม้แต่คำเดียว และไม่รู้วัฒนธรรม ประเพณีของม้งเลย แม้ชุดประจำเผ่าก็ไม่มีหลงเหลือ หากเหตุดังกล่าวคือความเจริญรุ่งเรือง หากทุกคนได้รับความเจริญรุ่งเรือง ชนชาติม้งจะเป็นอย่างไร…ไว้ฉบับหน้ามาว่ากันต่อค่ะ.

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วรรณกรรมม้ง


ตำนานประวัติศาสตร์ม้ง 5000 ปี ตอน 7
เปิดตำนานประวัติศาสตร์ชนชาติม้งที่ซ่อนเร้นมากว่า 5,000 ปี (ตอน 7) โดย “โดมดอย”หวังว่าผู้อ่านคงสบายดีนะ….มาถึงตอนนี้ก็ทวนความจำกันหน่อยว่า เราคุยกันถึงยอดนักสู้ ยอดผู้นำ “จั๊งฉู้เหม่” ซึ่งเป็นยอดนักสู้ที่แข็งแกร่ง และฉลาดมาก แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้แก่จีน ….ศึกสงครามแต่ละครั้งย่อมมีความแตกต่าง แต่ปัญหาสำคัญคือ หลัง ๆ มานี้ ม้งไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้หากใครได้รับความทุกข์ยาก เดือดร้อน ย่อมง่ายแก่การแปรพักตร์โดยไปเข้ากับฝ่ายจีน แล้วย้อนกลับมาฆ่าฟันคนม้งด้วยกันเอง โดยเป็นใส้ศึกเปิดประตูเมืองให้ทหารจีนเข้าเมืองมาฆ่าฟันชาวม้ง ศึกสงครามแทบทุกครั้งม้งแทบไม่เคยแพ้แก่จีนอย่างง่ายดายเลย แต่ม้งกลับมาแพ้แก่ม้งด้วยกันเองอย่างง่ายดาย การแปรพักตร์ คิดคดทรยศพวกเดียวกันไม่ว่าชาติใดภาษาใด…มักต้องมีอยู่พวกหนึ่งเมื่อผลประโยชน์ลงตัว ก็เริ่มคิดคดทรยศฝ่ายเดียวกันทันที แม้ในชนชาติม้งเองก็เช่นเดียวกัน จึงทำให้ม้งถูกทรมาน บังคับเคี่ยวเข็น ให้ได้รับความทุกข์ยากลำบาก จากรุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่มีจบสิ้น“อนุสาวรีย์จั๊งฉู้เหม่” คลิกดูรูปใหญ่หลังจาก “จั๊งฉู้เหม่” เสียชีวิตแล้ว 128 ปี ชาวม้งในจีนเพิ่งจะได้คิดและสำนึกถึงพระคุณที่ “จั๊งฉู้เหม่” วีรบุรุษผู้กล้าหาญชาญชัยมีต่อชาวม้ง